ปีที่ ๖ – บทที่ ๑

น้องของปิติ

ระยะเวลาปิดเรียนsummer termภาคปลายเป็นช่วงเวลาที่moderately long timeเนิ่นนานพอสมควร แต่สำหรับปิติเขามีความรู้สึกว่าวันหนึ่งๆ ผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เพราะเขาต้องทำงานหลายอย่าง เป็นต้นว่าเลี้ยงหมูแทนยาย เลี้ยงtilapiaปลานิลซึ่งยายออกไปอีกหลายบ่อ ดูแลเจ้านิลและอื่นๆ many other thingsอีกจิปาถะ บางครั้งพ่อหรือแม่วางเขาธุระต่างๆ ให้ด้วย นอกจากนี้ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำyouthเยาวชนคนหนึ่งของศูนย์เยาวชน จึงต้องเข้าร่วมกิจจกรรมหลายเรื่อง ทั้งที่เป็นประโยชน์แก่เยาวชน และเป็นการพัฒนาท้องถิ่นด้วย ปิติจึงไม่ค่อยได้patrol, roamตระเวนไปตามบ้านเพื่อนฝูง แล้วพากันtravel around the local areaเตร็ดเตร่สนุกสนานเหมือนอย่างเคย เขามีawarenessความสำนึกlittle by little, graduallyที่ละน้อยๆ ว่า ยิ่งโตขึ้นยิ่งมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ครอบครัวและสังคมเพิ่มขึ้น แต่เขาไม่ได้รู้สึกลำบากใจหรือbored with, fed up withเบื่อระอาแต่อย่างใด เพราะความรู้สึกเช่นนี้permeate, absorbซึมซาบเข้าสู่จิตใจที่ละน้อยๆ จนเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขาเอง

มานี ชูใจ ดวงแก้ว และสมคิดต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเขา เวลาที่จะkid aroundเล่นหัวหรือสนุกสนานกับเรื่องไร้สาระเช่นแต่ก่อนมีน้อยลง วีระกับมานะเรียนสำเร็จชั้นประถมศึกษาแล้ว ต่างเตรียมตัวจะศึกษาต่อในชั้นมัธยมศึกษา พวกเด็กๆ จึงห่างเหินกันไป นานๆ ก็นัดmeetพบปะget togetherสังสรรค์สักครั้งหนึ่ง

ขณะนี้น้องชายของปิติอายุห้าขวบแล้ว เป็นเด็กclever, intelligentเฉลียวฉลาดและnaughty, mischeviousซุกซนมาก ปิติtake on, undertakeรับภาระคอยดูและlook afterเอาใจใส่น้องแทนยาย พ่อ แม่และพี่ๆ เขาพยายามทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี ฝึกให้น้องรู้จักช่วยตัวเอง และช่วยทำงานง่ายๆ ได้ น้องรักยายและปิติมาก เวลายายหรือปิติไปไหนก็มักจะbeg, pleadอ้อนวอนขอตามไปด้วย

เช้าวันหนึ่งปิติกับน้องกวาดลานบ้านเสร็จแล้วก็ช่วยกันหั่นwater hyacinthผักตบชวาเป็นshreds, fibersฝอยเพื่อต้มกับbroken milled riceปลายข้าวและrice branรำสำหรับเลี้ยงหมู ยายถือปิ่นโตและoffering trayพานดอกไม้ธูปเทียนจะไปวัด เพราะเป็นวันBuddhist holy dayธรรมสวนะ น้องของปิติเห็นเข้าก็ขอตามไปด้วยเหมือนทุกครั้ง ยายอนุญาตเพราะต้องการinculcate, instillปลูกฝังให้หลานรู้จักทำบุญ และgrasp tightly, (have faith) in religionยึดในศาสนาตั้งแต่ยังเล็ก

เมื่อไปถึงsermon hallศาลาการเปรียญ น้องของปิติsitting waiนั่งพนมฟังพระสวดมนต์อยู่ข้างยาย พอพระสวดมนต์จบ laypeopleอุบาสกอุบาสิกาmany different kindsทั้งหลายต่างช่วยกันจัดfood for monksภัตตาหารถวายพระและเณร พระ(monks) to eatฉันเสร็จก็ให้พร every person whoบรรดาผู้ที่มาทำบุญต่างpour holy water for the deadกรวดน้ำgive merit toแผ่ส่วนกุศลให้บรรพบุรุษpeople who have passed onผู้ล่วงลับไปแล้ว จากนั้นทุกคนร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ระหว่างรับประทานอาหารต่างก็สนทนาfamiliarly, sociallyวิสาสะ เล่าsorrowful and joyful mattersสารทุกข์สุกดิบสู่กันฟัง ทำให้ทุกคนมีความสนิทclose friendshipชิดชอบและสามัคคีreconcileปรองดองกันอย่างunabated, unlessenedไม่เสื่อมคลาย

ตอนสายท่านปุญญธมโมแสดงBuddhist sermonพระพระธรรมเทศนาหนึ่งcls. for sermonกัณฑ์ เพื่อinstructอบรมจิตใจBuddhist peopleพุทธศาสนิกชนให้hold fast, adhere toยึดมั่นอยู่ในmoral preceptsศีลธรรม และbehavior, conductประพฤติในสิ่งที่ดีงาม นองของปิตินั่งนิ่งฟังอยู่นานก็doze offสัปหงกsway back and forthโงกเงก ได้ยินเสียงท่านปุญญธมโมvaguely, indistinctlyแว่วๆ ว่า “การนอนตื่นสายก็ดี การเป็นคนlazy, idleเกียจคร้านก็ดี” ถึงตรงนี้เขาก็drift off to sleepเคลิ้มหลับไป และตื่นขึ้นเมื่อยายปลุกจะพากลับบ้าน

“ฟังเทศน์ทีไรละเป็นต้องหลับทุกที เลยไม่รู้ว่าพระท่านสอนอะไร” ยายบ่น หลานชายบอกว่า “ผมได้ยิน และจำได้ว่าพระท่านสอนว่าอย่างไร”

“จำได้แล้วต้องทำตามคำสอนของท่าน อย่าviolate, disobeyฝ่าฝืนนะ” ยายreiterate for emphasisกำชับ หลานก็took the order to heartรับคำอย่างหนักแน่น

ตั้งแต่วันนั้นมา ทุกคนไปบ้านต่างpuzzled, confused and surprisedพิศวงงงงวยที่น้องของปิติกลายเป็นเด็กlazyเกียจคร้าน นอนตื่นสายไม่ช่วยยายและปิติทำงานอย่างเคย กลับมีท่าทางcarefreeสบายอกสบายใจที่ไม่ต้องทำอะไร ใครจะwarn, adviseว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็ไม่pay attentionใส่ใจฟัง พ่อจึงbeat, flogเฆี่ยนตีteach a lessonสั่งสอน น้องของปิติกลับaccuseกล่าวหาว่าพ่อเป็นคนไม่ดีที่ลงโทษเขา

ปิติwatch over, observeเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของน้องชายอยู่เงียบๆ ในที่สุดเขาก็can’t bear itอดรนทนไม่ได้จึงถามน้องว่า “น้องconscious ofรู้ตัวไหมว่าเป็นคนเกียจคร้าน long spinal column = lazyสันหลังยาวและนอนตื่นสายไม่ช่วยพี่ทำงานเลย”

“รู้ ฉันต้องเกียจคร้านและตื่นนอนให้สายๆ สบายดี” น้องตอบ ปิติreally angryโกรธจัดเขาthunderous voiceแผดเสียงถามน้องอย่างenraged, infuriatedฉุนเฉียวว่า “ใครสอนนิสัยแล้วๆ ให้ หรือว่าเอาอย่างไร ฮะ” น้องปิติsmile joyfullyยิ้มแฉ่ง ตอบเสียงspeak confidently and clearlyฉะฉานว่า “ก็ท่านปุญญธมโมน่ะซีสอนฉัน วันนั้นฉันไปฟังท่านเทศน์กับยาย ท่านสอนว่า การนอนตื่นสายก็ดี การเป็นคนเกียจคร้านก็ดี แล้วทำไมใครๆ จึงว่านอนตื่นสายหรือเกียจคร้านไม่ดี*emphasis*เล่า

ปิติbe silentอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง นึกsurprisedประหลาดใจว่าfor what reasonเหตุไฉนท่านปุญญธมโม จึงจะสอนเช่นนี้ เขาจึงpull, drag, haulฉุดเอาตัวน้องไปหายาย และถามถึงเรื่องที่ทำให้เกิดความเข้าใจmixed up, confusedฟั่นเฝือจนทำให้น้องประพฤติผิดเช่นนี้ ยายนิ่งนึกอยู่for a momentประเดี๋ยวก็ร้องว่า “oh my, alasอพิโธ่เอ๋ย...นึกออกแล้ว เมื่อวันพระที่แล้วเขาตามยายไปวัดอย่างไรล่ะ ท่านปุญญธมโมเทศน์เรื่องการพัฒนาตนเอง ตอนหนึ่งท่านพูดว่า การนอนตื่นสายก็ดี การเป็นคนเกียจคร้านก็ดี ทำให้เราเสียโอกาสที่จะทำการงานให้ได้มากๆ ในที่สุดเราก็จะยากจน สงสัยว่าเขาจะได้ฟังแค่ตรงที่ว่า ‘การนอนตื่นสายก็ดี การเป็นคนเกียจคร้านก็ดี’ แล้วคงหลับไป ตื่นขึ้นจึงจดจำเอาตามที่ได้ยิน มิน่าเล่า... หัดเป็นคนเกียจคร้านนอนตื่นสาย เพราะฟังไม่จบความนี่เอง” แล้วยายก็หันไปถามหลานชายคนเล็กว่าจริงหรือไม่

น้องของปิติlower one’s chin to one’s chestหน้าม่อยรับว่าจริง ปิติจึงพาน้องไปนั่งที่deck, patioเฉลียงหลังบ้าน เขาเห็นน้องมีความเข้าใจถูกต้องแล้วจึงไม่พูดfind fault withฟื้นฝอยขึ้นมาอีก เพียงแต่สอนว่า “การฟังอะไรต้องฟังให้จบความจึงจะเข้าใจ ถ้าฟังเพียงpartially, incompletelyครึ่งๆ กลางๆ ก็ทำให้เข้าใจผิด จำไว้นะ ถ้าฟังแล้วสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องถามผู้ใหญ่ให้เข้าใจbeforehandเสียก่อน จึงเชื่อหรือact accordinglyปฏิบัติตาม

“ฉันจะเชื่อพี่” น้องชายvow, promiseรับคำsoft voiceเสียงอ่อย เพราะรู้สำนึกว่าตนเองทำผิดไปหลายอย่าง ปิติเห็นน้องมีท่าทางlistlesslyเงื่องหงอยก็สงสาร จึงพูดว่า “พี่จะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง คนในนิทานเรื่องนี้ไม่รู้จักฟัง ทำให้ได้รับผลร้ายยิ่งกว่าน้องeven more so (than you thought)เสียอีก มีชายคนหนึ่ง เป็นคนฟังไม่เป็น ฟังอะไรไม่ตั้งใจฟังให้จบข้อความ บางครั้งคนอื่นพูดอย่างหนึ่ง instead of doing this, does thatไพล่ไปคิดเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วไปเล่าต่อผิดๆ ด้วย วันหนึ่งเขาแอบได้ยินthiefโจรสองคนwhisperซุบซิบกันว่า มีสมบัติพัสถานมากมายซ่อนอยู่ในcavity, holeโพรงใต้ฐานเจดีย์ใหญ่ในวัด พอเขาได้ฟังเท่านั้น ก็รีบวิ่งไปที่เจดีย์ เห็นโพรงอยู่ใต้ฐานก็รีบenter head firstมุดenter a hollow space, go under something, go around something blocking the wayลอดเข้าไปuse hands or a tool to search for somethingควานหาwealth, property สมบัติพัสถาน เจดีย์ใหญ่เก่าแก่ก็sag, collapse because it can’t support itselfทรุดลงplace on top of somethingทับเขาแบนติดดิน ถ้าเขาตั้งใจฟังขโมยสองคนนั้นพูดต่อไปอีก ก็จะรู้ว่าฐานเจดีย์นั้นเก่าทรุดโทรมมาก ถ้ามีอะไรเข้าไปshake, tremble, when hit, disturbedกระเทือนอยู่ข้างใต้ก็จะทรุดลงทันที”

“ขโมยจึงconspireคบคิดวิธีการอยู่ ชายคนนั้นไม่ฟังให้รู้เรื่องจึงต้องตาย น้องจำไว้ การฟังสำคัญมาก ถ้าฟังเป็นจะทำให่เราเป็นคนฉลาด ถ้าฟังไม่เป็นทำให้เราเป็นคนโง่หรือเป็นอันตรายต่อตัวเองและคนอื่นด้วย ฟังสิ่งใดแล้วต้องคิด ถ้าฟังไม่เข้าใจต้องถาม” น้องชายของเขามีท่าทางcheerful expressionแช่มชื่นขึ้น และรับคำอย่างหนักแน่นว่าจะตั้งใจฟังเรื่องต่างๆ จนเข้าใจ ปิติจึงพาน้องไปเล่นกับเจ้านิล

- + - + - + - + - + - + - + -

whenever...must...every timeทีไร...เป็นต้อง...ทุกที